ช่อง 3 เผย ขอไม่เกี่ยวกรณี สรยุทธ โดนศาลสั่งจำคุก 13 ปี 4 เดือน ยันไม่กระทบผังรายการสถานี ระบุเป็นเรื่องส่วนบุคคล ให้ เรื่องเล่าเช้านี้ ออกอากาศได้ตามปกติ แต่จะเปลี่ยนผู้ดำเนินรายการหรือไม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ บ.ไร่ส้ม

จากกรณีที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในโลกออนไลน์อยู่ในขณะนี้ จากกรณีศาลอาญาตัดสินให้ นาย สรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ประกาศข่าวชื่อดังและยังเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ตัดสินให้จำคุก 20 ปี ลดโทษเหลือ 13 ปี 4 เดือน สั่งปรับ บริษัท ไร่ส้ม 120,000 บาท ลดเหลือ 80,000 บาท ไม่รอลงอาญา ในฐานะผู้สนับสนุนให้มีการกระทำความผิดจัดคิวโฆษณาของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เกินเวลา สร้างความเสียหาย 138 ล้านบาท ขณะที่ นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด จำคุก 30 ปี ลดโทษเหลือ 20 ปี

จากกรณีดังกล่าวทางผู้สื่อข่าวไปสอบถามไปยังเจ้าหน้าที่ฝ่ายรายการ สถานีวิทยุโทรทัศน์ ไทยทีวีสีช่อง 3 ได้รับการเปิดเผยว่า คำตัดสินในครั้งนี้ไม่เกียวกับผังรายการของช่อง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนบุคคล รายการที่ผลิตโดยบริษัท ไร่ส้ม ทุกรายการ ไม่ว่าจะเป็น รายการเรื่องเล่าเช้านี้ หรือรายการเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ ยังคงออกอากาศตามปกติ ส่วนจะเปลี่ยนแปลงผู้ดำเนินรายการหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ผลิตอีกครั้งหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับช่อง

ขณะที่ ดร.มานะ นิมิตมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) กล่าวว่า กรณีคดีไร่ส้ม ของ สรยุทธ์ สุทัศนะจินดา เป็นคดีที่ได้รับความสนใจจากคนในสังคม เนื่องจากบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นบุคคลสาธารณะ และถือเป็นคดีตัวอย่าง ซึ่งภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นพิจารณาคำตัดสินออกมาแล้ว ก็เป็นที่ชัดเจนเพิ่มมากขึ้นว่าข้อกล่าวหานั้นเป็นเหตุการณ์จริง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง

“จากนี้ไปจึงเป็นหน้าที่ของต้นสังกัดซึ่งเป็นองค์กรธุรกิจเกี่ยวกับสื่อสารมวลชนจะตัดสินใจโดยใช้ดุลยพินิจ ว่าควรจะแสดงความรับผิดชอบอย่างเหมาะสมต่อกรณีดังกล่าวอย่างไร เนื่องจากหากเป็นข้าราชการที่ถูกชี้มูลความผิด ก็จะมีการพักการปฏิบัติหน้าที่ หรือหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีการคำตัดสินออกมา”

เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น กล่าวด้วยว่า องค์กรสื่อถือเป็นแบบอย่างในสังคม เมื่อมีบุคคลที่มีชื่อเสียงถูกตัดสินจากศาลว่าทุจริต ในฐานะที่องค์กรต้นสังกัดที่ทำงานจะต้องทำธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบควรจะทำอย่างไร เขาจะต้องตัดสินใจ เพราะกฎหมายบังคับไม่ได้ เพราะนี่คือเรื่องของการมีจริยธรรมในการทำธุรกิจ อย่างไรก็ตามคำตัดสินที่ออกมานั้นเป็นคำตัดสินของศาลชั้นต้น ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องในคดียังมีสิทธิอุทธรณ์และหาหลักฐานมาสู้คดีได้ ซึ่งจะต้องช่วยกันติดตามต่อไป

“คดีที่ตัดสินในวันนี้เป็นเพียงศาลชั้นต้นที่ตัดสินออกมา ซึ่งคดีเกี่ยวกับการทุจริตในแวดวงราชการ ไม่ว่าจะเป็นใคร ศาลจะพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยไม่ได้สนใจว่าบุคคลนั้นเป็นใคร ฉะนั้นจึงเป็นเครื่องเตือนใจอย่างหนึ่งว่าใครที่จะหาผลประโยชน์ด้วยการโกงชาติโกงแผ่นดิน หากทุจริตต้องถูกลงโทษ” ดร.มานะ กล่าว

 

ภาจาก fanthai.com

ความคิดเห็นจากสมาชิกเฟซบุ๊ก

comments