เมื่อวันที่ 24 กุภาพันธ์ เว็บไซต์เดอะ การ์เดี้ยน และเทเลกราฟ รายงานว่าบริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ถูกศาลตัดสินให้จ่ายค่าชดเชย 72 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ให้กับคุณยายรายหนึ่ง โดยเป็นสาเหตุให้คุณยายรายนี้เป็นโรคมะเร็งรังไข่ และเสียชีวืตในเวลาต่อมา

เนื่องจากคณะลูกขุนในรัฐมิสซูรี่ ตัดสินให้บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน มีความผิดในการเตือนผู้บริโภคถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นและให้จ่ายค่าเสียหายให้แก่ครอบครัวของแจ็คกี้ ฟ็อกซ์ หญิงสาวที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งรังไข่ โดยเธออ้างว่าแป้งฝุ่นของ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เป็นตัวการทำให้เกิดโรคดังกล่าว

ทั้งนี้ ฟ็อกซ์อ้างว่าเธอใช้ผลิตภัณฑ์แป้งฝุ่นของ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน มาเป็นเวลานานกว่า 35 ปีเป็นประจำ ก่อนจะได้รับการวินิจฉัยโรคเมื่อ 3 ปีที่แล้วว่าเธอป่วยเป็นมะเร็งรังไข่ และเสียชีวิตในที่สุดเมื่อปี 2015 โดยลูกชายบุญธรรมของเธอ มาร์วิน ชาลเตอร์เป็นผู้รับช่วงต่อในการฟ้องร้องคดีต่อศาล โดยกล่าวว่า ฟ็อกซ์ แม่อุปถัมภ์ของเขานั้นใช้แป้งยี่ห้อนี้อยู่เสมอในชีวิตประจำวัน

“สำหรับแม่แล้ว การทาแป้งฝุ่นเหมือนกับการแปรงฟันทุกวัน” ชาลเตอร์กล่าว

โดยคริสตา สมิธ หัวหน้าคณะลูกขุน กล่าวว่าบริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ซึ่งเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพระดับโลกนั้น ไม่เที่ยงตรงต่อผู้บริโภคมากพอ “มันชัดเจนอยู่แล้วว่าบริษัทพยายามปกปิดบางอย่างไว้” สมิธกล่าว “ที่เขาควรจะทำคือแปะฉลากเตือนไว้บนผลิตภัณฑ์ค่ะ”

ก่อนหน้านี้ ปี 1970 แป้งฝุ่นเหล่านี้ปนเปื้อนด้วยเส้นใยจากแร่ใยหินซึ่งเป็นที่รับรู้กันดีว่าเป็นสาเหตุของการก่อมะเร็ง และนับแต่นั้นเป็นต้นมา ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับแป้งฝุ่นภายในบ้านที่ถูกกฎหมาย ระบุให้ต้องไม่ปนเปื้อนจากแร่ใยหินใดๆ

กระทั่ง เดือนพ.ค. 2009 มีกลุ่มรณรงค์เพื่อความปลอดภัยในเครื่องสำอาง Campaign for Safe Cosmetics ผลักดันให้บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน นำส่วนผสมที่น่าสงสัยบางอย่างออกจากผลิตภัณฑ์สำหรับทารกและผู้ใหญ่ออก โดยหลังจากเรียกร้อง รณรงค์ และคว่ำบาตรผลิตภัณฑ์ของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันอยู่ 3 ปี บริษัทยักษ์ใหญ่ก็ยินยอม ในปี 2012 ที่จะนำส่วนผสมอย่าง 1,4-ไดออกซินและฟอร์มาลดีไฮด์ ซึ่งเป็นสารเคมีที่ก่อให้เกิดความระคายเคืองและเป็นเหตุของการเกิดมะเร็งได้อีกด้วย ออกจากผลิตภัณฑ์ในเครือดังกล่าว

ขณะที่นักวิทยาศาสตร์บางรายให้ความเห็นว่า อนุภาคของแป้งฝุ่นนั้นสามารถเดินทางไปจนถึงรังไข่และสร้างความระคายเคืองได้จนเกิดการอักเสบในเวลาต่อมา ซึ่งการอักเสบเหล่านี้สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการเกิดมะเร็งรังไข่ได้ อย่างไรก็ตาม ข้อสันนิษฐานเหล่านี้ยังมีข้อมูลสนับสนุนอยู่น้อยทีเดียว

ความคิดเห็นจากสมาชิกเฟซบุ๊ก

comments