ชาวหอ.ผงะ พบศพแม่ลูกตายคาหอกลางเมืองเชียงใหม่ หลังจากที่พบเลือดนองนอกห้องเปิดประตูเจอศพแบบที่ญาติทำใจไม่ได้

วันที่ 10 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 22.00 น. วันที่ 9 มี.ค. ที่ผ่านมา พ.ต.ต.ทนงศักดิ์ จันทร์เจือแก้ว พนักงานสอบสวน.สภ.เมืองเชียงใหม่ ได้รับแจ้งว่ามีคราบเลือดสีดำไหลออกมาจากประตูห้องเช่าที่เกิดเหตุของอพาร์ทเมนต์ แบ่งเช่า อยู่ ต.หายยา ในตัวเมือง เชียงใหม่ จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้น และรุดไปยังอพาร์ทเมนต์สถานที่เกิดเหตุพร้อมด้วย พ.ต.อ.ดำเนิน กันอ่อง ผทค. พ.ต.ท.นิติพันธ์ สังขกร สว.สส. แพทย์เวรรพ.มหาราชนครเชียงใหม่ พ.ต.ท.ฐานันดร วิทยาวุฑฒิกุล หัวหน้าพิสูจน์หลักฐาน จ.เชียงใหม่ ไปตรวจสอบ

อพาร์ทเมนต์สถานที่เกิดเหตุ เป็นอพาร์ทเมนต์ แบ่งเช่ารวม แบ่งให้เช่า สูง 4 ชั้น ที่หน้าห้องเช่าที่เกิดเหตุบริเวณชั้น 3 มีคราบเลือดไหลออกมา ทางผู้ดูแลอพาร์ทเมนต์ แบ่งเช่าได้เปิดประตู แต่ติดศพที่นอนขวางอยู่ที่ประตู ต้องดันเขาไป พบศพนายณัฐวุฒิ สติดี อายุ 22 ปี เป็นคนรูปร่างอ้วน น้ำหนักประมาณ 80 กก. ทราบว่าเพิ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ในตัวจังหวัดจ.เชียงใหม่ และกำลังฝึกงานอยู่ที่บริษัทเบทาโกรในตัวเมือง เชียงใหม่ สภาพสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีน้ำตาลลายตาราง นุ่งกางเกงสามส่วนสีกากี นอนคว่ำหน้า ใกล้กันพบศพของนางมุกดา สติดี อายุ 56 ปี ซึ่งเป็นแม่ สภาพสวมเสื้อยืดคอกลมสีเขียวถูกถลกไปกองบนหน้าอก กางเกงขายาวสีกากี และถุงเท้าสีดำ ศพเริ่มเน่าบวมอืดส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง โดยที่ทั้ง 2 ศพอยู่ในสภาพนอนคว่ำอยู่ใกล้กัน ในห้องเช่าที่เกิดเหตุยังพบโทรศัพท์มือถือของผู้เสียชีวิตวางอยู่บนเตียงนอน มีลอตเตอรี่งวดวันที่ 1 มี.ค. 58 และ งวดวันที่ 1 ก.ย. 56 ไม่ถูกรางวัลแต่อย่างใด ขวดนม มีคราบยาฆ่าแมลงปนอยู่ในขวด และในถังขยะพบซองยาฆ่าแมลง 1 ซองใหญ่

นอกจากนั้น ยังพบจดหมายลาตาย ที่เขียนว่า ‘บันทึกก่อนเสียชีวิต 7 มี.ค.58’ ซึ่งนางมุกดา ได้เขียนระบายไว้เกือบ 20 หน้ากระดาษ เนื้อหาโดยรวมได้ตัดพ้อว่าพ่อไม่ดูแลลูก ปล่อยลูกซึ่งป่วยหนักเป็นโรคเบาหวาน ไม่มีเงินใช้จ่าย แม้กระทั่งค่าเช่าห้อง ถูกทวงมาหลายวันก็ไม่มีปัญญาจ่าย ลูกชายป่วย คงอยู่ได้อีกไม่นาน ก็จะลาโลกไปคนเดียว จึงขอไปดูแลลูกทุกภพทุกชาติ และขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา ลาก่อนลาตลอดไป รักพ่อนะ รักมากด้วย ลงชื่อแม่

ส่วนนายณัฐวุฒิ ก็เขียนจดหมาย พอสรุปได้ว่า รักครอบครัวมาก แต่ตนมาป่วยเป็นโรคเบาหวาน แม้เรียนจบมาแล้วก็ยังไม่สามารถทำงานหาเงินได้ กำลังฝึกงานอยู่บริษัทใหญ่ แต่แม้ค่าเดินทาง ค่ากินอยู่ก็ยังลำบาก จึงขอลาตายไปอยู่กับเมีย ไปอยู่กับแม่

จากการสอบสวนเพื่อนร่วมอพาร์ทเมนต์ แบ่งเช่า ทราบว่า ก่อนหน้านี้มีคนในอพาร์ทเมนต์ แบ่งเช่าเห็นคราบเลือดสีดำไหลออกมาทางประตูห้องเช่าที่เกิดเหตุอพาร์ทเมนต์สถานที่เกิดเหตุ แต่ไม่มีใครกล้าเปิดเข้าไปดู จึงโทรศัพท์แจ้งตำรวจมาตรวจ จนพบศพสองแม่ลูกอยู่ในห้องดังกล่าว

ด้าน พ.ต.ท.ฐานันดร วิทยาวุฑฒิกุล หัวหน้าพิสูจน์หลักฐานจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบห้องเกิดเหตุ พบสลิปของร้านสะดวกซื้อเป็นนมเปรี้ยว 2 ขวด เมื่อวันที่ 7 มี.ค.57 เวลา 18.29 น. ที่ผู้เสียชีวิตนำมาผสมยาพิษดื่มพร้อมกัน เพื่อฆ่าตัวตาย คาดว่าทั้งสองคงจะเสียชีวิตในคืนวันดังกล่าวนั้นเอง ประกอบกับได้ตรวจในอพาร์ทเมนต์สถานที่เกิดเหตุแล้ว ลงความเห็นว่า ผู้เสียชีวิตทั้งสองดื่มยาพิษฆ่าตัวตายไปด้วยกัน ไม่ได้เป็นการฆาตกรรม

ขณะที่ พ.ต.ต.ทนงศักดิ์ จันทร์เจือแก้ว พงส.สภ.เมืองเชียงใหม่ เปิดเผยว่า คดีนี้ น่าจะเป็นคดีที่แม่และลูกพร้อมใจกันกินยาฆ่าตัวตายเอง เพื่อหนีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ และโรคประจำตัวของลูกชาย ตามเนื้อความในจดหมายลาเสียชีวิตที่เขียนบันทึกไว้ ส่วนใครจะชักจูงใครนั้น ตอนนี้ยังไม่ทราบ แต่จากหลักฐานและพยาน ทราบว่า ลูกชายเข้ามาพักที่อพาร์ทเมนต์ แบ่งเช่าได้ประมาณ 4 เดือน และเพิ่งจบปริญญาตรีมา แต่มีอาการป่วยเป็นโรคเบาหวานอย่างหนัก ต้องเข้าออกโรงพยาบาลตลอด และผู้เป็นแม่ ยังเคยไปบอกคนดูแลอพาร์ทเมนต์ แบ่งเช่าว่า ลูกชายเป็นเบาหวาน ขอให้ผู้ดูแลช่วยสอดส่องดูด้วย เวลาแม่ไม่อยู่ และในที่สุดแม่ลูกก็มาพร้อมใจกันฆ่าตัวตายดังกล่าว สันนิษฐานว่า น่าจะมาจากความเครียด และต้องการประชดผู้เป็นพ่อที่ไม่เหลียวแล และลูกชายก็มาป่วย มีความหวังเล็กๆ น้อยๆ ด้วยการไปซื้อลอตเตอรี่ งวดที่ผ่านมาก็ไม่ถูก และยังมีหนี้สินเล็กๆน้อยๆ รวมทั้งค่าอพาร์ทเมนต์ แบ่งเช่าด้วย จึงได้ตัดสินใจฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหาทั้งแม่และลูกก็อาจจะเป็นได้

ที่มาข่าวสด

ความคิดเห็นจากสมาชิกเฟซบุ๊ก

comments