เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2559 นางประนอม แดงสุภา ผู้ก่อตั้งธุรกิจ น้ำพริกเผาแม่ประนอม ในนามบริษัท พิบูลย์ชัย น้ำพริกเผาไทยแม่ประนอม จำกัด ได้เดินทางไปยั งศูนย์บริการประชาชน สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อยื่นหนังสื่อถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. เพื่อร้องเรียนขอความเป็นธรรม โดยกล่าวอ้างถูกปลอมแปลงเอกสาร และทำการโอนที่ดินกองมรดกไปเป็นของลูกสาว

นางประนอม กล่าวอ้างว่า ตนและสามีคือนายศิริชัย แดงสุภา ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งกิจการดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2502 จนกิจการขยายใหญ่ขึ้นในปี 2557 จึงมอบหมายให้บุตรสาวคนโตที่ได้รับความไว้วางใจจากคนในครอบครัวให้เป็นกรรมการและบริหารงานต่างๆ แทนครอบครัวเพียงคนเดียวมาตลอด โดยให้ถือครองหุ้น 20,000 หุ้นจากทั้งหมด 59,000 หุ้น

ต่อมาปี 2558 พบข้อพิรุธและสงสัยว่าอาจมีการปลอมหนังสือมอบอำนาจจากตนเอง และโอนที่ดินกองมรดกไปเป็นของบุตรสาวเอง ซึ่งที่ผ่านมาได้ขอร้องให้โอนคืน แต่กลับถูกเพิกเฉย รวมทั้งยังถูกฮุบกิจการ น้ำพริกเผาแม่ประนอม ที่มีมูลค่าถึง 5 พันล้านบาทไปเป็นของลูกสาวร่วมกับบุตรเขย

นางประนอม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังสงสัยว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทใหม่ทั้งหมด พร้อมตัดชื่อนายศิริชัย ซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อปี 2556 ชื่อของตน รวมทั้งบุตรคนอื่นๆออกจากรายชื่อผู้ถือหุ้นทั้งหมด ก่อนใส่ชื่อของบุตรสาวและบุตรเขยเข้าไปแทน

นางประนอม กล่าวอ้างด้วยว่า ต่อมาตนถูกขับไล่ออกจากบ้านพัก จึงตัดสินใจยื่นฟ้องร้องต่อศาลให้ดำเนินคดีกับทั้ง 2 คน เพื่อขอให้คืนทรัพย์สิน พร้อมขอให้นายกฯพิจารณาช่วยเหลือ เนื่องจากเกรงจะไม่ได้รับความเป็นธรรม

“เรื่องของดิฉันเป็นเรื่องภายในครอบครัว แต่ถ้าปล่อยไว้อาจมีการฮุบกิจการและทรัพย์สินของครอบครัวไปเป็นของตนเองโดยง่าย โดยจะเกิดผลเสียหายแก่บรรทัดฐานด้านจริยธรรมและศีลธรรมของสังคมอย่างยิ่ง จึงใคร่ขอความกรุณาจากท่าน เพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับดิฉันและครอบครัวด้วย” นางประนอมระบุ

ด้านนายทวิชา หวังโภคา ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของนางศิริพร แดงสุภา และนายสุชาติ ภาษาประเทศ บุตรสาวและบุตรเขยของนางประนอม กล่าวว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งผ่านมาเกือบ 1 ปีแล้ว โดยนางประนอม ผู้ก่อตั้งธุรกิจน้ำพริกเผาแม่ประนอม และน้องสาวนางศิริพร เป็นผู้ฟ้องนางศิรพร คดีเรื่องมรดก ที่ศาลจังหวัดตลิ่งชัน ซึ่งศาลนัดพิจารณาคดีในวันที่ 11 เม.ย.59 อีกคดีที่ศาลจังหวัดนครปฐม เป็นคดีเรื่องปลอมแปลงเอกสาร ซึ่งศาลนัดพิจารณาคดีในวันที่ 4 เม.ย.59 ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นขอให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม และให้ศาลเป็นผู้วินิจฉัยว่าจะตัดสินในเรื่องนี้อย่างไร

“จากการพูดคุยกับนางศิริพร ยืนยันว่าในฐานะลูกไม่อยากตอบโต้กับแม่ เพราะถือว่าไม่เหมาะสม และอยากให้เรื่องดังกล่าวยุติโดยเร็ว”นายทวิชากล่าว